“ทนงศักดิ์” นักแสดงอาวุโส เปิดตัวลูกครั้งแรก! เผยชีวิตคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ถ้าแลกได้ขอตายแทนภรรยาที่จากไป

เรียกได้ว่าหน้าตาดีทั้งบ้านสำหรับครอบครัวของ “ทนงศักดิ์ ศุภการ” นักแสดงอาวุโส ที่มากด้วยฝีมือ ที่นอกจากบทบาทในการแสดงจะทำให้ทุกคนรู้จักแล้ว แต่อีกหนึ่งภาพจำคือ “นักวิ่ง” ส่วนอีกมุมนึงที่หลายคนยังไม่รู้ เพราะเขาคือคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว สูญเสียภรรยาไปด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่ปี 48 และล่าสุดก็ได้พาลูกชายลูกสาว ปัญญ์ ปัญญ์เพชร / เปี่ยม เปี่ยมรัก มาออกรายการ คุยแซ่บShow ทางช่องOne31 เผยอีกมุมของพ่อที่ต้องเลี้ยงลูก 3 คนที่แตกต่างกันมาก รวมไปถึงการแต่งงานกับสาวรุ่นลูก อายุห่างกันเกือบ 20 ปี

คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวมากี่ปีแล้ว?

ทนงศักดิ์ : คุณแม่เขาเสียตั้งแต่ปี 48 แต่พอคุณแม่เริ่มป่วยตอนปี 45 ก็เริ่มเลี้ยงแบบจริงจังตั้งแต่ตอนนั้น เพราะให้คุณแม่เขาได้ดูแลสุขภาพเต็มที่ เพราะป่วยเป็นมะเร็งที่ไขกระะดูก เป็นระยะที่ 3 มะเร็งเริ่มเป็นไม่มีอาการนะ แต่เขาเริ่มปวดหลังมาเดือนกว่า ๆ ก็เลยตรวจเจอ ส่วนมากคนที่เจอมะเร็งขั้นต้นก็เพราะว่าไปตรวจสุขภาพเลยเจอ อย่านิ่งนอนใจ และเราก็จำโมเมนท์ได้ตอนเขาโทรมาบอกเราว่าเขาเป็นมะเร็ง และวันนั้นเรากำลังจะเข้าฉาก เราก็บอกว่าขอไม่เล่นแล้ว เพราะว่าภรรยาตรวจพบมะเร็ง เรารีบมาจากกองไปหาเขา เราเปิดประตูเข้าไป เห็นเขานอนรอ เราเห็นสายตาของเขา เรายังจำภาพวันนนั้นได้เลย สายตาบอกว่าฉันไม่เป็นไร แต่มันคือเป็นแล้วไง เขาพยายามเก็บความรู้สึก เราก็เดินเข้าไปจับมือ โมเมนท์คนที่เป็นคู่เรา เขาต้องการกำลังใจมากที่สุด ไม่เป็นไร ทุกคนตกใจหมด คนที่ถูกบอกว่าเป็นมะเร็งถูกตัดสินไปแล้วว่ามึงต้องตาย ไม่มีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ คุณหมอก็ยังไม่ได้บอกว่าเป็นอะไรแน่นอน แต่พอตรวจเจอ จิตมนุษย์มันก็ตก และพอไปตรวจอีก หมอก็บอกว่าเป็นเยอะแล้วอยู่ไม่เกิน 6 เดือน และการที่หมอบอกแบบนี้เราก็อย่าไปเชื่อ เราต้องเชื่อตัวเราเอง แต่เรายังไม่ได้บอกลูก เพราะว่าเขายังเล็กอยู่ เราค่อย ๆ บอกเขา

วันนั้นที่แม่เป็นมะเร็ง หน้าที่ของลูกคืออะไร?

ปัญญ์ : จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนขนาดนั้น ด้วยวัยตั้งแต่เด็ก เราอยู่กับพ่อ เพราะแม่เอาเราไม่อยู่ เลยถูกส่งไปอยู่กับพ่อ 

เปี่ยม : ตอนนั้นเด็กมาก ตอนแม่เจอ เรายังไม่ทราบว่ามะเร็งคืออะไร เราก็เลยไม่ได้ดูแลอะไร แต่เราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เวลาไปเรียนราก้ตั้งใจเรียนของเราไป ไม่ทราบว่ามะเร็งมันร้ายแรงแค่ไหน และตอนคุณแม่เสียประมาณม.5 

แต่จาก 6 เดือน ยื้อมาได้ 3 ปี 18  วัน?

ทนงศักดิ์ : ตอนหมอบอกว่าคุณเป็นมะเร็ง จิตทุกคนตก เพราะประสบการณ์มันสอนเรา อย่างตอนที่เราไฟดูด และบอกว่าแขนใช้ไม่ได้ แต่เราก็ทำจนแขนกลับมาใช้ได้ เราอย่าเพิ่งไปเชื่อ สิ่งที่เขาบอกมา คือแค่การประเมินในส่วนนึง แต่เราต้องทำให้ดีที่สุดก่อน และวันที่เสียไป เราก็บอกลูกว่าแม่ไม่กลับมาแล้วนะ แม่ไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่แม่ก็ยังอยู่ในใจของเราตลอดไป 

วันที่ภรรยาไม่อยู่แล้วจริง ๆ ?

ทนงศักดิ์ : เรายังเคยบอกลูกเลยว่าถ้าเลือกได้ เราขอไปแทน เพราะอยากให้เขาอยู่ดูแลลูกแทนเรา ไม่ใช่ว่าเรารักเขามาก จนเรายอมตายแทนเขานะ แต่แค่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนึงถ้าดูแลลูก น่าจะดูแลลูกได้ดีกว่าเรา ขาดพ่อเหมือนคอหักแต่ขาดแม่เหมือนแพแตก เราไม่มีทางดูแลลูกได้ดีกว่าผู้หญิงที่เป็นแม่ เรามีหน้าที่ซัมพอร์ตในเรื่องอื่น แต่พอมันเลือกไม่ได้ เราก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เรียนรู้จากความเป็นแม่ ในการดูแลลูกจากเขา ความรักไม่มีเหตุผล 

และพอสูญเสียแม่ไป แต่ทำไมเป็นนักวิ่งทั้งบ้าน?

ทนงศักดิ์ : เป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้ว พอใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับความเจ็บป่วยของภรรยา เราเห็นคนป่วยอยู่โรงพยาบาล ไม่มีใครอยากป่วยหรอก และเราก็บอกลูก ๆ ว่าเราควรต้องทำนะ เราทำให้เขาเห็น เวลาลูกไปงานศิษย์เก่ากับพ่อ เห็นเพื่อน ๆ พ่อ แล้วไม่อยากเป็นแบบนี้ เราต้องคายตะขาบให้เขาก่อน เขามีสุขภาพดี ความล้มเหลวไม่มีอยู่จริง การที่มีสุขภาพดี คือมีอยู่จริง

เปี่ยม : อย่างเราเพิ่งไปตรวจสุขภาพมาแล้วหมอบอกว่าเรามีเซลล์ผิดปกติ เราตกใจมาก และคุณพ่อก็เลยพาไปตรวจอีกโรงพยาบาลนึง สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีอะไร เป็นแค่เซลล์ผิดปกติ แต่ไม่ได้ลุกลามอะไร เราไปตรวจมะเร็งปากมดลูกและมันมีรอยโรคมะเร็ง คิดดูยายก็เป็น แม่เป็น 

ทนงศักดิ์ : ถามว่าเราตกใจไหม เราก็ตกใจ แต่เขาสามารถจัดการกับใจเขาได้เอง เขาไปวิ่งได้ ไปทำงานได้ ตรงนี้เลยทำให้เห้นการออกกำลังกาย มันทำให้เขาแข็งแรง เขายอมรับได้ เขาก็บอกว่าป่วยก้รักษา

ส่วนลูกชายล่ะ เป็นคนสร้างเรื่องที่สุดในครอบครัวไหม?

ทนงศักดิ์ : เรียกว่าเขาทำให้เราเรียนรู้ดีกว่า หลายเรื่องเลย ในพื้นที่ที่เราคิดว่าเราไม่เคย แต่เราต้องไป เราควรจะอยู่ในห้องกิจกรรมากกว่าห้งปกครอง ไปทุกอาทิตย์

ปัญญ์ : หนักมากครับ ยอมรับว่าอะไรที่ไม่ดี ผมทำหมดเลยนะ เริ่มตั้งแต่หลังแม่เสีย เราก็เริ่มแล้ว เป็นลูกคนกลาง พี่น้องคือได้ 4 ตลอด ส่วนเราคือไม่เคยถึง 1 เอาแค่ 0.8 ให้ได้ก่อน เราไม่เวิร์คทางนี้นะ แต่คือจริง ๆ เราชอบอ่านการ์ตูนเล่นเกมส์ ถ้าเป็นยุคนี้คือมันใช้เป็นอาชีพ แต่ตอนนั้นคือพ่อเลี้ยงลูก 3 คน และหลังจากแม่เสีย มีเหตุการณ์พอแม่เสียเพื่อนมาล้อเรื่องแม่ และต่อยกัน เราชนะ ทุกคนเห็นว่าเราโอเค มันทางของเรานิ มีคนมาเชิดชูเราในทางนี้ จากขาวไม่ได้ ก็ไปดำเลย ถ้าหนักสุดก็ยาเสพติด สุดโต่งเลย เคยมีเหตุการณ์ในสมัยเด็ก เป็นการทะเลาะวิวาทกัน หลุดไปหน่อยมีอาวุธ เรื่องไปถึงตำรวจ ผู้บาดเจ็บเป็นเด็ก แต่ถามว่าเรากลัวตายไหม เราคิดว่าเราโชคดี พอกลับมามองจากสายตาเราไม่ได้หลุดไปมากขนาดนั้น เราไม่ได้โหดขนาดนั้น เราตีในแบบโรงเรียนเอกชน เราสุดแบบนี้

ทนงศักดิ์ : ตอนนั้นก็ถูกอัญเชิญออกจากโรงเรียน สองโรงเรียน แต่ไม่เคยตี ซึ่งก็เคยตีตอนสมัยประถมเคยตีบ้าง แต่ถามว่ากลัวลูกตายไหม ก็เคยบอกว่าเขาต้องเป็นคนเลือก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาตายไม่เป็นไร แต่ถ้าคนอื่นตาย ไม่ควร จริง ๆ ถ้าคุณตายมันจะไม่เป็นภาระอะไร เพราะคุณเป็นคนเลือกเอง แต่คุณไม่ควรทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน แต่ถ้าคุณไม่ตาย คุณติดคุก เราก็ยังสามารถไปเยี่ยมเขาได้ 

ถามว่าเราเป็นนักแสดง แต่ลูกต้องเข้าห้องปกครองตลอด?

ทนงศักดิ์ : ก็ดีทำให้เราไม่มีตัวตน แต่มันคนละส่วน เราพยายามสอนเขา แต่เขาก็ต้องเรียนรู้เอง ไม่ได้คิดว่าจะมีส่วนกับชื่อเสียงเรา บางส่วนอาจจะมองแบบนั้น แต่ต้องยอมรับความจริง ต้องอยู่กับมัน และบ่อยมากต้องเบรคกองละคร ก็ต้องไปห้อวปกครอง สุดท้ายก็ไม่ได้โกรธโรงเรียนที่เขาเชิญออก โรงเรียนเขาไม่ได้ทำคุณ คุณทำตัวเอง เขาก็ทำตามกติกา

ปัญญ์ : สิ่งที่ทำให้เราเปลี่ยน เพราะครอบครัว จริง ๆ พี่ชายน้องสาว  เขาคิดว่าเขาไม่ส่วนในการช่วย แต่จริง ๆ  เขามีส่วนมาก ๆ  จริง ๆ  พ่อพูดมาตลอดตั้งแต่เด็ก เราเริ่มสังเกตว่าทำไมมีคนเข้าหาพ่อเราตลอด มีคนเข้ามาปรึกษาเรื่องการใช้ชีวิต การทำงาน เราอยู่ใกล้เขา แต่ทำไมเราไม่เห็นเรื่องพวกนี้เลย พี่น้องเริ่มมีเงินเดือน แต่เรายังไม่มีอะไร ชีวิตนี้เราไม่เวิร์คแล้ว เราเริ่มหยุดตัวเอง น้องเปี่ยมมาบอกว่ามีอะไรให้ช่วย บอกได้นะ เปลี่ยนมาได้ประมาณ 8 ปีแล้ว 

คุณพ่อรู้สึกยังไงกับการประสบความสำเร็จของลูกทั้งสามคน?

ทนงศักดิ์ : จริง ๆ เพียงแค่ให้รู้ว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี ต้องใช้ศีลธรรมในการไม่สร้างความเดือดร้อนกับใคร ตัวเราเองต้องไม่เดือดร้อนด้วย จริงๆ สุดท้ายต้อปรับเสมอ ล้มเมื่อไรก้ต้องลุกขึ้นมาเอง 

ลำบากไหม? กับการที่อยู่กับผู้ชาย และทำให้เรามีแฟนยาก

เปี่ยม : ด้วยความที่ปัญญ์เขาเกรงตอนมัธยม เขาก็จะรู้ว่าถ้าใครมาหักอกเรา เขาก็จะรู้ทันทีว่าผุ้ชายคนนี้เป็นยังไง อาจจะต้องเจอเขาหรือเปล่า  

ทนงศักดิ์ : ไม่ได้หวงอะไร การใช้ชีวิตของผู้หญิง การมีแฟนได้ไม่ใช่เรื่องผิด อย่างตอนเรียนปีแรก ๆ เขากลับตี 3 เราก็รอ เป็นห่วงเขา สุดท้ายเราก็บอกว่าถ้าเขาต้องท้อง หรือเขาพลาดอะไรขึ้นมา แต่เราแค่เสียดายชีวิตวัยรุ่นของเขาเองซึ่งที่เราเข้าใจชีวิตเพราะมันเป็นความจริง ทุกคนก็เคยทำ การที่คนพลาด ไม่ใช่เราต้องซ้ำเติม เราต้องให้โอกาส เราจะบอกเสมอว่าการที่เขาเป็นแบบนี้ คนอื่นเป็นก็เรื่องธรรมดา 

คุณพ่อแม่ แต่งงงานกับสาวอ่อน 20 ปี?

ปัญญ์ : ผมตอบแทนพี่ชายได้เลยว่า คุณพ่อเดินมาบอกว่าคนนี้นะ ผมก็โอเค ตามนั้น พี่ชายก็บอกว่าให้ไปดิวกับน้องเพราะน้องน่าจะหนักสุด 

เปี่ยม : ต้องบอกว่าคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่เป็นแฟนคุณพ่อ คนแรก ๆ จะไม่โอเค เราหวงพ่อ แต่พอมีหลาย ๆ คน เราก็โตขึ้นด้วย มันนานด้วย คนที่ทำให้คุณพ่อแฮปปี้ เราก็โอเคแล้ว ตอนนั้นเราก็ไม่โอเค ปฏิบัติดีตลอด แต่พอเสร็จก็บอกว่าไม่โอเค แต่เปี่ยมเป็นคนเดียวที่ได้ของขวัญจากแฟนคุณพ่อ คนอื่นไม่เคยได้เลย 

ทนงศักดิ์ : เวลาชอบใครเราก็จะบอกว่าชอบ ฉันมีลูกนะ เปิดไปเลย ชีวิตมันควรจะเป็นคู่ ก็จะสอนลูกเสมอว่าถ้าเขาไม่เลือกเรา ไม่ใช่เราไม่ดีนะ แต่เขาไม่ชอบเราเท่านั้นเอง และคำมั่นสัญญากับภรรยาคือเราจะมีใครก็แล้วแต่ แต่เราต้องดูแลลูก จนกว่าเขาจะแยกไปมีชีวิต 

พ่ออยากบอกอะไรลูก?

ทนงศักดิ์ : ภูมิใจและดีใจที่มีเขาเป็นลูก ที่เขามีวันนี้ ภูมิใจในทุก ๆ วันของเขา สำหรับลูก เรามีความสุข เขาเกิดมาครบ แต่วันนี้ถ้าผิดพลาดอะไร ก็มีโอกาสลุกขึ้น แต่อย่าไปทำให้ใครเดือดร้อน 

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์  เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

คลิปสัมภาษณ์ ทนงศักดิ์ ศุภการ

About Author