คุยแซ่บShow

“น้อย โพธิ์งาม” ขอโทษลูกสาว  “หญิง รฐา” ทำร้านส้มตำขาดทุน 2 ล้าน

หญิง รฐา ควงสามี ตุลย์ ตุลยเทพ พร้อมคุณแม่สุดที่รัก น้อย โพธิ์งาม มาเปิดชีวิตครอบครัวที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องวัน 31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และบูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ออกรายการพร้อมกัน 3 คนครั้งแรก? หญิง : ใช่ไม่เคยออกรายการมีพี่ตุลย์ แม่ หญิง เลย แต่งมา 2 ปี เรือนหอเสร็จแล้ว? หญิง : ยังไม่ 100% ตุลย์ : ยังไม่ได้ตกแต่ง สาเหตุที่ไม่ย้ายไปอยู่เรือนหอ เพราะยังไม่เสร็จหรือติดแม่? หญิง : รวม ๆ แต่ก่อนบ้านพี่ตุลย์จะอยู่กับคุณพ่อ พี่สาว พอคุณพ่อเสีย พี่สาวอยู่บ้านคนเดียว เราไม่อยากให้พี่สาวอยู่บ้านคนเดียว เลยให้พี่ตุลย์กลับไปอยู่บ้านตัวเองด้วย ส่วนคุณแม่ เราอยู่ตอดบ้าน เป็นคนชอบอยู่บ้านตัวเอง ก็เลยเป็นลักษณะ 3 วันอยู่บ้านพี่ตุลย์ อีก 4 วันมาอยู่บ้าน แต่ก็มีซื้อคอนโดเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ตกแต่ง ลูกสาวติดคุณแม่ ได้ยินแบบนี้อิ่มเอิบไหม? แม่น้อย : ไม่ต้องได้ยินหรอก การกระทำมันห่างแม่ไม่ได้ ยังบอกเธอมีสามีแล้วนะ เธอยังให้ฉันเกาหลังอยู่ เขาเกาไม่เหมือนแม่เกา เอ้า...จะมีผัวทำไม มันก็มาอ้อนเรื่อย ๆ ตกลงลูกสาวติดแม่ หรือแม่ติดลูกสาว? แม่น้อย : ก็ทั้งคู่ เหมือนกันเลย แม่ก็ไม่มีใคร มีหญิงคนเดียว แล้วมามีลูกชายนี่แหละ จะไม่ให้รักมากได้ยังไง หญิง : มีหญิงคนเดียว หญิงไม่ใช่ลูกนะ แล้วมีลูกชาย เห็นว่าคนรักลูกชายคนนี้ แม่เคยหนีพี่ตุลย์มาก่อน? แม่น้อย : ไม่ใช่หนีพี่ตุลย์ คือมันมีเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่ คือเราจะรู้ไหมว่าลูกเราไปคบกับใคร ก็มันไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้ เราก็เลยงอนลูก ขับรถหนีลูกไปเลย รู้ว่าพี่ตุลย์จะมาขับรถหนีลูกไปเลย ไม่รู้ฉันยังไม่พอใจ เพราะข่าวออกมาอย่างนั้น แล้วลูกเรา เราก็คิดมาก พอตุลย์มาพูดเท่านั้นสยบทุกอย่างเลย แม่น้อยหวงลูกสาว ตอนนั้นรู้อยู่แล้วไหม? ตุลย์ : รู้ครับ แต่ไม่ได้กังวลอะไรมาก ถ้าเรามีความตั้งใจดี การกระทำดี ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลอะไร เราไม่ได้เข้ามาเพื่อมาหลอกลูกสาวเขา คุยกับหญิงเหมือนกันว่าจะทำยังไงให้พิชิตใจคุณแม่ได้ แค่เราเป็นตัวของเราเอง แล้วทำอย่างที่เราทำให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราคบกันจริง เราตั้งใจจริง แล้วเราไม่ได้ทำให้หญิงเสียใจ สักวันคุณแม่จะเข้าใจ...

เปิดใจที่แรก! “นุ่น รมิดา” เผยวินาทีสูญเสียคุณพ่อ  พร้อมความตั้งใจอยากท้อง

หลังจากที่เมื่อกลางเดือนที่แล้ว ต้องสูญเสียคุณพ่ออย่างกะทันหัน หลังจากที่ได้เข้ารับการผ่าตัด โดย “นุ่น รมิดา” ได้เปิดเผยความรู้สึกพร้อมน้ำตาผ่านรายการ คุยแซ่บShow ทางช่องOne 31 กับการสูญเสียแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งได้เผยสาเหตุของการที่คุณพ่อจากไป รวมไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ จนทำให้ตัวเองเสียศูนย์ไปมาก พร้อมกับเรื่องไม่น่าเชื่อกับการคุณพ่อมาหาหลังเสียไป และคำสั่งสุดท้ายที่อยากให้ลูกสาวคนนี้ท้องไว ๆ ตอนนี้สภาพจิตใจเป็นยังไงบ้าง หลังที่สูญเสียคุณพ่อ? “สภาพจิตใจตอนนี้มันโอเคไหม มันก็โอเค แต่เหมือนว่าตื่นนอมาทุกเช้าเหมือนคนเสียศูนย์ เพราะปกติพ่อจะโทรมาหาทุกเช้า เหมือนพอวันที่ไม่มี มันจะมีอารมณ์ที่แฝงไว้ว่าเราจะมีอะไรทำ หันไปมองโทรศัพท์มันก็จะคิดถึง บางวันมันก็มีความสุข บางวันมันก็หวนกลับไปคิดถึงคุณพ่อ เสียไปเมื่อกลางเดือน กค. เพราะจากไปแบบไม่ทันตั้งตัว และตัวคุณพ่อเองก็ไม่คิดว่าเขาจะไปเลยเหมือนกัน และย้อนกลับไปคุณพ่อเขามีอาการคือเหนื่อย เขาเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการเพลีย เขานึกว่าเขาเป็นกรดไหลย้อน คิดว่าปวดท้องเฉยๆ แต่ไม่บอกลูก คือเขาก็เคยโทรมาเล่าปกติว่าเมื่อคืนนอนเหงื่อแตก แต่ตอนนี้โอเคแล้ว ซึ่งเขาโทรมาจากชัยภูมิ เราอยู่กรุงเทพฯ พอวันที่เกิดเรื่อง เขาเข้าโรงพยาบาล หมอเฉพาะทางเขาก็แจ้งเส้นเลือดใหญ่ โป่งพอง ระดับท้องไปถึงหน้าอก ไม่ได้เป็นกระเพาะอาหารตามที่คุณพ่อคิด แต่ด้วยความที่คุณพ่อไม่มีปัญหาเรื่องความดัน พอวินิจฉัยโรคนี้แล้ว ต้องผ่าตัดด้วยการใส่ขอดลวดเข้าไป ซึ่งถ้าไม่ผ่าก็เหมือนระเบิดเวลา ถ้าความดันมันขึ้น มันก็อาจจะแตกได้ คล้ายๆ สโต๊ก และเขาอยู่โรงพยาบาล 18 วัน ซึ่งไม่มีอาการเลย และวันที่เขาผ่าตัด เขาก็ตื่นเต้น แต่คุณหมอก็คุยกับเราและคุณพ่อตลอด คุณพ่อก็บอกว่าทำยังไงก็ได้ให้ผมปลอดภัย เราก็ให้กำลังใจวางยาก็หายแล้ว วันนั้นผ่าตัดไป 8 ชม. พอผ่าตัดเสร็จเราก็เห็นเขาออกมาจากห้องผ่าตัดผ่าตัดไปด้วยดี 90% แต่อีก 10% อาจจะเกิดการเป็นอัมพาธ เลือดอาจจะไม่ไปเลี้ยง แต่หมอคิดว่าน่าจะผ่านไปได้ และที่กล้ามเนื้อหัวใจเลือดอาจจะไม่ไปเลี้ยง แต่พอหมอเทียบขนาดนี้ เราก็ใจชื้นขึ้นมา วันแรกของการฟื้นของคุณพ่อ เราก็ไปเยี่ยม เขาก็สื่อสารด้วยมือ แต่ด้วยความอายุ 70 กับการผ่าตัดที่ยาวนาน แต่วันที่สอง คุณหมออยากจะฟอกไตให้พ่อ เพราะเหมือนร่างกายมันหายไปนาน ไตทำงานได้ช้า พ่อไม่ยอมฉี่ พ่อก็ตัดสินใจเอง ฟอกไตครั้งแรกก็ปกติ แต่เช้าวันที่ 3 คุณหมอก็ขอฟอกอีกรอบ แต่ตอน 10 โมง พี่สาวโทรมาบอกว่าพ่อไม่หายใจ  เราคิดอะไรไม่ออกเลย จับมือหลุยส์รีบขึ้นไปหาพ่อเลย อยู่หน้าห้องไอซียู คุณหมอปั้มหัวใจ ก็บอกคุณหมอว่าทำให้เต็มที่ คุณหมอก็เดินมาบอกว่าไม่น่าจะไหว เขาให้เราเข้าไปคุยกับพ่อ ตอนนั้นพ่อหลับตาแล้วแต่ชีพจรยังอยู่ ด้วยความที่เราเป็นลูกสาว 2 คน เราไม่เคยทำงานศพ เพราะตอนแม่เสีย พ่อก็ดำเนินการทุกอย่าง เราก็ขอฝากพ่อไว้ก่อน ขอกลับไปทำใจและตั้งสติก่อน แต่โชคดีได้ญาติฝั่งพ่อฝั่งแม่เป็นคนช่วยเคลียร์”  กำลังใจที่ดีคือสามีอยู่ข้าง ๆ ตลอด? “นุ่นว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เป็นใคร ใครก็ช็อคไม่ว่าจะเกิดกับใคร ในวันที่พ่อจากไป เราทำอะไรไม่ถูก ซึ่งมันต่างจากวันที่แม่จากไป เพราะแม่จากไปโดยไม่ต้องทรมาน แต่พอพ่อจากไป เราไม่รู้จะทำไงต่อ เพราะแค่ปวดท้องไม่มีใครคิดว่าจะผ่าตัดแล้วไป และหลังจากเผาคุณพ่อเสร็จ เราก็กลับมาคอนเสิร์ตแกรมมี่อาร์เอส แต่พอคอนเสิร์ตจบก็จะเศร้าๆ และหลุยส์เขาก็รู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน จะไม่ได้พูดว่าสู้ ๆ นะ เขารู้ว่านุ่นแข็ง อยู่ได้ เขารู้ว่าเราค่อนข้างหนักในการเจอสถานการณ์แบบนี้” ในวันที่เราเป็นลูก และไม่มีคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้ว? “กลัวการสูญเสีย กลัวว่าที่ต้องเหลือเราอยู่คนเดียว แล้วใครจะอยู่กับฉัน เพราะในวันที่อยู่ เราก็ดูแลเขา มันเหนื่อยกับการที่สูญเสีย ทุกการสูญเสียมันเป็นแผลหมด ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าจะสื่อสารความรู้สึกนี้ออกมายังไง มันมีความรู้สึกหลายสิ่งในหัว มันกลั่นกรองไม่ได้ เพราะย้อนกลับไปตอนสูญเสียคุณแม่ ทุกคนมีแผลหมดเลย เราแค่เลือกที่จะอยู่กับมันยังไงคนที่หนักสุดคือคุณพ่อเพราะเขาคือคู่ชีวิต เขาอยู่อย่างทรมานในเรื่องของจิตใจ กลัวเขาเป็นซึมเศร้า แต่เขาก็พยายามอยู่เพื่อเรา เขารู้สึกทรมาน เขารู้สึกว่าเขาตัวคนเดียว” แล้วคุณพ่อมาหาบ้างไหม? “ไม่มีเลย แต่นุ่นเชื่อเรื่องนึง ว่าเมื่อก่อนไม่เชื่อว่าเวลามีคนเสียแล้วคน ๆ นั้นจะมาหา แต่รู้สึกว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าเพราะแม่ก็ไม่เคยมี เราไม่เคยสัมผัสได้เลยกับเรื่องพวกนี้ แต่วันที่จัดการงานคุณพ่อเสร็จ และเรากำลังจะกลับกรุงเทพฯ ห้องนอนของคุณพ่ออยู่หน้าบ้าน วันนั้นไม่มีใครเปิดทีวีในห้องคุณพ่อเลย แต่อยู่เฉย ๆ เราก็เช็คของว่าเราลืมอะไรไหม แต่กำลังหันหลังกลับ ได้ยินเสียงโทรทัศน์เปิด ตอนแรกคิดว่าหลานเปิด พี่สาวก็ถามน้องนัทว่าเปิดทีวีเหรอน้องนัทก็บอกว่าไม่ได้เปิดทีวีเลยสักเครื่อง ขนาดแม่บ้านอยู่หลังบ้านก็วิ่งหน้าตื่นมา ถามว่าใครเรียกหนูเหรอ เราก็ถามว่าเสียงที่เรียก เรียกยังไง เรียกว่า อีนาง ซึ่งมีพ่อคนเดียวที่เรียก เป็นเรื่องเดียวที่รู้สึกว่าจริง และกล้องวงจรปิดที่บ้าน เราก็พยายามกดมันลง ไม่ให้แมลงมาบินบัง แต่กล้องมันก็จะตื่นตอนตี 1 เหมือนว่ามีอะไรเคลื่อนไหว แต่พอไปดูมันก็ไม่เห็นอะไร ที่เราอยากดูเพราะความคิด มันก็กลัวนะ เราเลยอยากผ่านความกลัว รู้ว่ามีอยู่จริง แต่ก็ไม่เคยเห็น” เวลาคิดถึงเราแพ้อะไร ที่ทำให้คิดถึงคุณพ่อ ? “จริง ๆ คือพ่อเขาได้ไปอยู่กับแม่แล้ว อย่างของนุ่นคือสิ่งที่หายไปคือการพูดคุยกับเขาทุกวัน เขาเป็นคนคุยสนุก แต่ในเรื่องที่เขาอยากให้เราทำคือการมีน้อง แต่เรื่องท้องมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ แต่เราก็ส่งเขาไปดีที่สุดเท่าที่ลูกคนนึงจะทำได้แม้ในหลายๆ เรื่อง ที่พ่อแม่หวัง เราอาจจะทำให้ไม่ได้ แต่เอาเรื่องอื่นมาทดแทนในสิ่งที่เราทำได้ เราก็เต็มที่ไปแล้วเราไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้แล้ว แต่มันความเป็นลูกคนเล็กที่ได้รับแต่ความรัก แต่พอวันนึงไม่เหลือ เราไม่รู้จะอยู่ยังไงต่อ นุ่นไม่ได้กลัวความตาย แต่แค่รู้สึกว่าเราเหนื่อยกับการที่ต้องอยู่ ที่ต้องคาดเดาความเจ็บป่วยของคนอื่นมากกว่าตัวเราป่วย และวันที่พ่อแม่เสีย เราอยากตัดวงจรความเจ็บปวด ไม่อยากมีลูก ไม่อยากให้ลูกต้องมาเจ็บปวดเหมือนเรา แต่อีกมุมนึงถ้าพ่อไม่มีเรา ไม่มีพี่สาวใครจะมาดูแล หันมาจะบอกใครได้ ซึ่งมันก็ต้องมีใช่ไหม” ตอนนี้ตั้งใจมีลูกไปถึงไหนแล้ว? “คือทุกคนลุ้นเราเยอะนะ เราแต่งงานช้า กว่าจะวางแผนอีก มันเป็นเรื่องปกติที่เราอยากมีลูกในภาวะเรื่องนี้ แต่นุ่นไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรถ้าจะต้องมานั่งจิ้มพุงเพื่อกระตุ้นฮอร์โมน มันทนได้ และที่ผ่านมามีคนถามเยอะ แต่พอมันผ่านเรื่องคุณพ่อมา พอมีคนมาถาม มันยิ่งกดดัน เราจะหลุดง่ายมาก เพราะคิดว่ามันง่ายมากเลยเหรอ กับการมีลูก ตอนนี้เราไม่รับละครแล้ว เรามากินอาหารคลีน ไปเรียนกับนักโภชนาการ อยากกระตุ้นฮอร์โมน สิ่งที่ได้จากกินคลีน รูปร่างมันเปลี่ยน แต่เราก็ทำการบ้านตลอด ทำตั้งแต่ยังไม่แต่งเลย”...

“โชค รถแห่” ควงภรรยา เปิดใจหลังโพสต์เดือด จับได้สามีนอกใจ สรุปคือเรื่องจริงหรือคอนเทนต์

นักร้องขวัญใจสายแว๊น โชค รถแห่ ที่วันนี้ควง นัส จุฑารัตน์ มาเปิดใจที่แรก หลังภรรยาโพสต์เดือดจับได้สามีนอกใจไม่รู้จักพอ พร้อมเคลียร์ข่าวลือที่นัสยอมจ่าย 200,000 บาท เพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นเลิกยุ่งกับสามี ผ่านทาง รายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์...

เปิดชีวิต “แองจี้ เฮสติ้ง” หลังแต่งงานกับสามีชาวคูเวต ถูกเรียก มาดาม มีลูกน้องในบ้าน 14 คน! 

อดีตนักแสดงสาว แองจี้ เฮสติ้ง ที่วันนี้จะมาเปิดชีวิตหลังอำลาวงการไปแต่งงานกับนักธุรกิจเศรษฐีบ่อน้ำมัน ชาวคูเวตกว่า 8 ปี พร้อมบทบาทใหม่เป็นคุณแม่ลูก 2 แถมเล่านาทีชีวิต รกพันคอลูก ต้องคลอดก่อนกำหนด ผ่านทางรายการคุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และบูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้กี่ปีแล้ว? แองจี้ : ประมาณ 8 ปีแล้ว คือเราแต่งงานไป เราตั้งใจแล้วว่าเราลาวงการ แล้วยังไม่มีโอกาสได้กลับมาออกรายการด้วย ไปอยู่ที่นู้นด้วย โควิดด้วย คือไม่พร้อม ก่อนแต่งคบมานานเท่าไหร่? แองจี้ : กว่าจะได้แต่ง กว่าจะให้เขารู้ตัวว่าเราเป็นโซลเมทใช้เวลานานมาก 10 ปี บวกอีก 8 ปี เป็น 18 ปี ย้อนไปตอนนั้นพี่ทำยังไงให้เขารู้ว่ายูคือโซลเมทของฉันนะ ขอฉันแต่งงานได้แล้ว? แองจี้ : ตอนนั้นคบได้ 9 ปีแล้ว ก็บอกเขาถึงเวลาแล้วนะ ยูควรจะตัดสินใจเพราะว่าในตอนนั้น เรา 35 แล้ว เราต้องตัดสินใจว่าจะไปทางไหน จะเป็นนักแสดงเต็มตัวเลย หรือว่าเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนไปเลยไม่ต้องแต่งงานก็ได้ คือ 35 เราต้องตัดสินใจแล้วว่าเราจะมีครอบครัว แต่งงานหรือเปล่า เลยบอกสามีว่าฉันให้เวลาอีกปีนึงนะ ถ้าไม่ขอฉันแต่ง ฉันจะตัดขาด ตั้งใจที่จะทำงานต่อ แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วถ้าเขาเลิกกับเราจริง ๆ เราจะทำยังไง แต่เราก็มั่นใจว่าเขาต้องขอเราแน่ ๆ  แล้วทำยังไงอยู่ ๆ เขามาขอเรา? แองจี้ : ตอนเขามาขอเรา เราคิดเลยว่าเขาต้องจัดฉากโรแมนติกนู้น นี่นั่น แต่ตอนเขาขอแต่งงานเขาไม่ได้จัดฉากอะไรเลย เราก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าเขามาขอ เหมือนเขาจะหลอกเราไปถ่ายรูป เขาเป็นคนชอบถ่ายรูป เขาพาไปถ่ายที่แบบเหม็น ๆ ที่คูเวต เขาบอกยูมาถ่ายรูปหน่อย รอนานแล้ว ยูจะผูกรองเท้าอะไรนักหนา แล้วเขาก็ดึงแหวนออกมาจากรองเท้า แล้วหน้าเราก็แบบ โอ้โห.. ถ้าย้อนไป 8 ปีที่แล้ว MTV และละครบูมมาก อะไรที่ทำให้พี่ยุติวงการบันเทิง? แองจี้ : ตอนที่แต่งงานกับเขาจี้ยังไม่ได้ย้ายนะ ยังถ่ายละครอยู่ ยังรับงานอยู่ประมาณปีกว่าเกือบ 2 ปี เขาบอกว่ายูแต่งงานนะ ยูเป็นภรรยาของฉันนะ ทำไมยูยังไม่ย้าย ทำไมยังถ่ายละครอยู่ เราก็ลืมไป ไม่ได้คิดว่าแต่งงานเสร็จเราต้องย้าย เราคิดว่าแต่งงานก็คือแต่งงาน มันเป็นกฎของครอบครัวคนคูเวตหรือเปล่าต้องย้าย? แองจี้ : คือเราแต่งงาน เราต้องอยู่ด้วยกันใช่ไหม จี้ลืมไป ไม่ได้คิดว่าเราแต่งงาน เราต้องย้าย เพราะเราอยู่แบบนี้มา10 ปี ลืมไปเลย พอละครปิดกล้องก็ไป?...

“ไอซ์ ปรีชญา” ตอบที่นี่ที่แรก! “รักหรือเลิก” แฟนหนุ่มลูกครึ่ง เผยมรสุมที่เจอจนคิดไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว

หลายกำลังใจถาโถมส่งไปให้รัวกับการลุกขึ้นสู้อีกครั้ง หลังจากที่นางเอกสาว “ไอซ์ ปรีชญา พงษ์ธนานิกร” ต้องเผชิญเรื่องราวมากมายจนกลายเป็น “คุณหนูตกสวรรค์” จนทำให้บางช่วงบางตอนในความคิดของเธอไม่อยากจะอยู่บนโลกนี้แล้ว โดยเจ้าตัวได้มาเปิดใจผ่านรายการ คุยแซ่บโชว์ ที่ออนแอร์ทางช่องวัน 31 ขอบคุณทุกกำลังใจที่ทุกคนส่งมาทำให้เจ้าตัวมาแรงที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อ แม้วิกฤตที่เจออาจจะยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ตาม รวมไปถึงคำถามที่หลายคนสงสัยว่าสถานะความรักกับแฟนหนุ่มลูกครึ่งนั้น ยังรักกันดีอยู่ไหม? เพราะหลังจากเกิดกรณีห่างสุดเจ้าตัวก็ยังไม่ได้เคลียร์ชัด ๆ ขอย้อนกลับไปตอนนั้น หลายคนมองว่าเราคิดสั้น? “ย้อนกลับไปตอนนั้น ถามว่าเรามีความคิดที่เราจะคิดสั้นไหม ตอนนั้นเคยมีคิดบ้าง แต่ว่ามันไม่ถึงขั้นนั้น คือมีความคิดแค่ไม่อยากอยู่แล้ว เราเหนื่อย เราไม่อยากทำอะไร แต่ว่าคุณพยายามไปหาว่าเรากินยาอะไรเข้า สุดท้ายเราไม่ได้กินอะไร แต่ยืนยันว่าที่เกิดขึ้นล่าสุดไอซ์ไม่ได้คิดสั้น มันวูบไปเอง” และในส่วนของเรื่องงานที่โดนแคนเซิล? “ก็คือโดนแคนเซิลหมดเลย ทำให้จำนวนรายได้ที่เราจะได้ก็หายไปหลักล้าน อย่างโอนเงินมามัดจำครึ่งนึง เราก็ต้องโอนคืนกลับไป ไอซ์ก็ต้องเอากระเป๋าแบรนด์เนมไปขายก่อนเลย เพราะต้องเอามาใช้จ่ายในแต่ละเดือน รายจ่ายประมาณเดือน 1.6 แสนบาท ซึ่งในเวลาน้าถามว่ามันยากไหม มันก็ไม่ยาก ถ้าหนูตั้งใจที่จะหามัน” อาการล่าสุดของคุณแม่เป็นยังไงบ้าง? “อาการของคุณแม่เป็นมะเร็งตับขั้นที่สอง ตอนที่เขาเป็น เขาก็ไม่บอกหนู ทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่บอก สงสารหนูเพราะเห็นว่าเราเหนื่อย เราสังเกตว่าทำไมเขาป่วยบ่อย ทานอาหารไม่ได้ เริ่มผอมลง จนไปคุยกับพี่สาว พี่สาวถึงยอมบอกว่าคุณแม่กำลังป่วย พอได้ยินก็วูบ ช็อคเลย ซึ่งรู้จากหลังที่เป็นข่าว จากที่รู้อาการคุณพ่อ และมาเป็นข่าว และก็มารู้ว่าแม่ป่วย คุณแม่ก็เลยไปใช้สิทธิ์ 30 บาทเพราะห้วงเราต้องไปจ่ายเงินเยอะเกินไป หนูไม่ได้บอกว่าสิทธิ์ 30 บาทไม่ดี แต่ด้วยความที่เราเป็นลูก เราก็ต้องการดูแลเขาได้รับการรักษาที่ดี กลัวคุณแม่ลำบาก กลายเป็นเครียด ล่าสุดคุณแม่ก็ไปรักษาอาการที่โรงพยาบาลเฉพาะทาง เริ่มทำคีโมรอบแรก” เราเอากำลังใจมาจากไหน? “ไอซ์ฮึดด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่อายุมากแล้ว ถ้าใครคนนึงเป็นอะไรไป หนูรับไม่ได้ ต้องมีใครสักคนในบ้านที่ต้องเข้มแข็ง เพราะสิ่งที่เราเจอมา ไอซ์รู้สึกว่าทุกเรื่องที่ไม่ดี มักจะมีเรื่องดีอยู่เสมอ คือไม่ว่าปัญหาใดก็ตามมันมีทางแก้ไขมีทางออก มีคนอื่นพร้อมจะหยิบยื่นความเมตตามาให้ครอบครัวหนูเยอะมาก ได้เห็นกำลังใจ ทั้งพี่ ๆ นักข่าว แฟนคลับเพื่อน ๆ ในวันที่เราแย่ ๆ ยังมีคนดี ๆ มากมายที่เขาพร้อมให้กำลังใจเราตลอด” และในส่วนของสถานะหัวใจเป็นยังไงบ้าง? “ตอนนี้ก็ดีค่ะ ไอซ์โฟกัสเรื่องการงาน ตัวเขาเองก็โฟกัสเรื่องการทำงานเหมือนกัน ต่างต่างมีปัญหาในเวลาเดียวกันส่วนเขาคุณแม่เพิ่งเสีย คอนโดไฟไหม้ ส่วนหนูคุณพ่อป่วย คุณแม่ป่วย งานแคนเซิล เหมือนกับว่ามีมรสุมเหมือนกันเหมือนกับว่าต่างคนต่างดูแลตัวเอง ฮีลตัวเองด้วยตัวเองกันไปก่อน ห่างกันเพื่อจะกลับมาค่อยคิดถึงเรื่องความรัก ห่างกันแต่ไม่ได้เลิกกัน คุยกัน ยังติดต่อกันเหมือนเดิม ไม่ใครขอห่าง แต่ด้วยสถานการณ์ มันทำให้ห่างกันเอง” แล้วพอมันห่างกันมันรู้สึกยังไง? “คือเขาก็ให้กำลังใจหนู หนูก็ให้กำลังใจเขาเหมือนกัน ต่างคนต่างสู้ ๆ นะห่าง ๆ อย่างห่วง ก็เพิ่งห่างกันไม่นานมากเพราะอย่างเรื่องคุณแม่เขาเพิ่งเสีย เราก็ไปร่วมงานศพที่อุบล เราอยู่เคียงข้างเขา  ก็ให้กำลังใจเขา เราเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่ทำใจยาก เราพยายามให้เขาคิดถึงสิ่งดี...

“ปีเตอร์” ควงแฟนสาว เปิดใจเส้นทางรัก 12 ปี พร้อมคำดูถูกสารพัดไม่เหมาะสม ไล่ให้ไปทุบหน้าใหม่

ควงกันออกมาเปิดใจที่แรกสำหรับ “ปีเตอร์ ธูนสตระ” กับแฟนสาว “จอย สุจิตรา” เผยเส้นทางรักกว่า 12 ปีที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน และเปิดใจถึงอาการป่วยโรคธาลัสซีเมียของแฟนสาวที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด รวมไปถึงถูกบูลลี่ว่าไม่เหมาะสม ถูกไล่ให้ไปทุบหน้า ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง One31 ที่มี ธัญญ่า ธัญญาเรศ และ ชมพู่ธัณย์สิตา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ไม่เคยเปิดตัวที่ไหนมาก่อน แล้วคบกันมา 12 ปีแล้ว? ปีเตอร์ : ใช่ครับผม ทำไมถึงเพิ่งมาเล่นติ๊กต๊อกอัดคลิปที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้? จอย : เล่นมานานแล้วค่ะ แต่ว่าเพิ่งมาเป็นกระแสตอนที่อยู่โรงพยาบาล คือว่าตอนนั้นไม่แต่งหน้าแล้วถ่ายรูป คนก็เลยเข้ามาถามว่าป่วยจริงมั้ย ตัดต่อภาพหรืออะไร แล้ววันนั้นเป็นวันเกิดของคุณปีเตอร์เราอยู่โรงพยาบาลแล้วไปเที่ยวที่ไหนด้วยกันไม่ได้ เขาก็เลยมาอยู่โรงพยาบาลด้วยกัน เราก็เลยเอ่อ.. แต่งหน้าถ่ายรูปสักหน่อย คือคนเขาคิดว่าเราถ่ายคนเดียวแล้วเอาพี่ปีเตอร์มาตัดต่ออยู่ข้าง ๆ ? จอย : ใช่ค่ะ เขาก็ว่าเราตัดต่ออะไรประมานนี้อะค่ะ จุดเริ่มต้นของความรักรู้จักกันได้ยังไง? ปีเตอร์ : ตอนแรกคือเขาทำงานที่ห้าง แล้วบังเอิญไปเจอเขาที่ทำงานอยู่ ก็เอ้ยน่ารักก็เลยเข้าไปคุยกัน แล้วเป็นยังไงต่อเล่าให้ฟังหน่อยครับ จอย : วิ่งหนีค่ะ (หัวเราะ) คือวันนั้นเขามาทานข้าวแต่ไม่ได้ทานร้านเรานะ ไปทานร้านตรงข้าม แล้วเขาเดินมาหาเราด้วยความที่เราพูดภาษาไม่เป็น พูดได้แค่ไทยอย่างเดียว ก็เลยหนีเดินเข้าร้าน เขาก็พยายามเรียก เราก็ส่งเจ้าของร้านออกไปคุย บอกว่าฝรั่งคนนี้เขาจะเอาอะไรไม่รู้ ให้ไปรับรองหน่อย พอเฮียเขาเดินออกมาเขาก็บอกว่าเขาอยากคุยกับจอยอ่ะ เขาจะคุยด้วย ตอนนั้นพี่ปีเตอร์พูดภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย? จอย : ภาษาไทยได้ แต่ยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ยังไม่ชัดเท่าตอนนี้ ตอนที่เดินไปในห้างแล้วเห็นผู้หญิงคนนี้ปรากฎตัวต่อหน้าเราคือแบบสเปกเลยมั้ย? ปีเตอร์ : ก็คิดว่าคนนี้น่ารัก ก็อยากคุย เพราะเราไม่ได้ไปที่นี่ประจำ ไปงานพอดีเลยอยากถือโอกาสถ้าไม่ได้คุยวันนี้ก็คงไม่ได้เข้ากรุงเทพฯ มาอีก เห็นแล้วก็เลยอยากลองคุยกันดู ถ้าวันนี้ไม่ได้คุย คิดว่าจะเสียโอกาสไหม ? ปีเตอร์ : ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ เพราะว่าโอกาสที่จะเจอและน่าสนใจก็ไม่บ่อย ก็เลยถือโอกาสคุยดู  แสดงว่าเป็นคนชอบผู้หญิงตัวเล็ก น่ารักใช่ไหม? ปีเตอร์ : ใช่ครับ น่ารัก นิสัยเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว  สรุปวันนั้นเขาได้สั่งข้าวไหม ?...

“เป็กกี้” ควงสามี อัปเดตหลังแต่งงาน 7 เดือน งานนี้มีน้ำตาท่วมจอ!

เปิดบ้านสุดหรูมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ของสาวเป็กกี้ ศรีธัญญา พร้อมควงสามีหนุ่ม ฐากูร มาเผยชีวิตหลังแต่งงานกว่า7 เดือน และอาการป่วยของสาวเป็กกี้ที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31 ที่มีหนิง ปณิตา และ ชมพู่ ธัณย์สิตาเป็นพิธีกรดำเนินรายการ ตอนนี้เป็นสามี ภรรยา กันมา 7 เดือน? เป็กกี้ : ใช่ ตั้งแต่ธันวาคม  จากแฟนเป็นสามี ภรรยา มันเปลี่ยนไปไหม? ฐากูร : ก็เปลี่ยนแปลงบ้างครับ เป็นในทิศทางที่ดีขึ้น แล้วก็มีบางอย่างที่อาจจะต้องปรับแก้กัน มันก็เป็นเรื่องของชีวิตคู่ มันมีช่วงหนึ่งที่ทั้งคู่ทะเลาะกันหนักหน่วง? เป็กกี้ : เขาเรียกว่าทะเลาะกันทุกไตรมาส 5 ปีครั้ง ฐากูร : คบกันมาเข้าปีที่ 10 แล้วครับ 5 ปีแรกเรียกว่าหนักเลย? เป็กกี้ : ก็มีทะเลาะกันเนื่องจากการทำงาน และความเข้าใจไม่ตรงกัน บางทีเราอยากให้การทำงานมันออกมาเป๊ะ  ทิ้งความกดดันไปที่เขา เขามีความเครียด มันขนาดนี้เลยเหรอ แล้วมีอยู่วันนึงเขาพูดมาว่า ถ้านี่ไม่ทำงานเลย อยู่เฉยๆที่รักยังจะรักนี่อยู่ไหม ก็เลยมีปัญหากัน นี่ก็เลยบอกว่า ถ้าเธอจะมีคุณค่าอะไรล่ะ คนเราก็ต้องมีคุณค่าด้านการทำงานสิทีนี้เลยทะเลาะกัน พอทะเลาะปุ๊บ เขาไปไหนมาสักที่ ระหว่างที่รอ เรารู้สึกว่ามันจะต้องเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเคลียร์กันตอนทะเลาะเขาบอกว่าไม่อยากอยู่บ้านนี้แล้ว ทุบกีต้าร์ด้วย แล้วก็อะไรหลาย ๆ อย่าง เขาสติแตก ฐากูร : ผมจำไม่ค่อยได้ แต่มีอยู่ครั้งนึงที่บ้านนี้ที่ทะเลาะกันใหญ่ๆ เลย ด้วยทัศนคติที่เขาคิดว่าเงินสำคัญมากที่สุดในชีวิตแล้ว ผมมองว่าความสุขสำคัญกว่า เงินเอามาซื้อของได้ก็จริง แต่สุดท้ายถ้าร่างกายเรามันไม่ดี เราก็จะเป็นโรคภัยเงินจะเอามาใช้อะไร แล้ววันนั้นมันจบยังไง? เป็กกี้ : จบด้วยการแยกกันสักพักแล้วกลับมาเคลียร์กัน ค่อย ๆ คุยกันด้วยความซอฟลง ฐากูร : ก็จบลงด้วย ต่อไปนี้ผมมุ่งหน้าทำงานให้ดี ให้มากขึ้น แล้วล่าสุดที่บอกว่าคุณเป็กกี้งอนหนักมาก แล้วเป็นปัญหาใหญ่? เป็กกี้ : อันนี้เรียกว่าสงครามเย็น ต้องอธิบายอย่างนี้ ตั้งแต่ 10 ปีที่คบกันคุณฐาทำงานกับเป็กตลอด แล้วก็เขาตั้งใจทำหน้าที่ของเขาอย่างดี แล้วมีอยู่วันนึงหลังแต่งงานแล้ว บ้านเสร็จแล้ว เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันลงตัวแล้วมั้ง เขาก็เลยไปค้นพบงานอดิเรกอย่างนึง นั่นคือ ฐากูร : ปั่นจักรยาน ที่เรารู้สึกว่าชอบ แล้วเราแบบมีความสุข จริงๆ ตอนแรกไปปั่นจักรยานด้วยกัน แต่ว่าด้วยแดดด้วยอะไร เขาเหมือนว่าไม่ชอบ เป็กกี้ : เป็กเป็นอย่างนี้เวลาเขาไปทำกิจกรรมอะไร โอเคชีวิตคู่เรามีกันอยู่ 2 คน เราก็ไปทำด้วยกัน มันจะได้เป็นกิจกรรมคู่ ก็พยายามไปในทุกๆ กิจกรรมที่เขาอยากไป กิจกรรมจักรยานก็เคยไปกับเขามา ตอนนั้นไม่ชอบหรอก แต่ยินดีที่จะไป ทีนี้พอไปเขารู้สึกว่าการปั่นตรงนี้ไม่พอ อยากลงถนน เขาก็ชวนไปปั่นที่พัทยา เขาบอกว่าแดดไม่แรง ออก8 โมงถึง 11 โมง แล้วเรารู้สึกว่าการปั่น 1.แดดด้วย เครียดกลัวหน้าพังด้วยผู้หญิงอะ แล้วอีกประเด็นเวลารองเท้าติดเวลาเราปั่นแล้วเราหมดแรง ขึ้นเนินมันไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ มันไม่สามารถสลัดคีดให้หลุดได้ เราก็บอกว่าพี่ฐาช่วยด้วย 1-2 รอบแรกเขาก็ช่วยอยู่ แต่พอรอบที่3 ตอนเขามาช่วยเป็กเห็นสีหน้าเขามันมีความรู้สึกว่า เขาอยากสนุกของเขาแล้วเราเป็นภาระ ไม่รู้จริงไหมนะ แต่ว่าในสายตาเลยรู้สึกว่าไม่ใช่เวของเรามาแล้วเป็นภาระ กลับมากรุงเทพเป็กขายจักรยานทิ้งเลย...

“เจนนี่ รัชนก” น้ำตาคลอ ได้ยินครอบครัวสามี  “ยิว ฉัตรมงคล” พูดถึง ลูกสะใภ้

คู่รักน้อยร้อยดราม่า อย่าง เจนนี่ รัชนก หรือ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น กับคุณสามีสุดหล่อ ยิว ฉัตรมงคล พร้อมเคลียร์ใจมีปัญหาแม่ผัว ลูกสะใภ้ จริงไหม ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31 ที่มี เป็กกี้ ศรีธัญญา และชมพู่ ธัณย์สิตา  เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ข่าวดีมีลูกคนที่2 คนอื่นถือฤกษ์เวลาจะบอก ส่วนนี่ติดปุ๊บ ประกาศปั๊บ? เจนนี่ : ใช่ แฟนคลับถามทุกเดือน เราก็อยากบอกเขา เราท้องแล้วนะ เห็นว่าวันที่รู้ว่าท้อง ไปบอกยิวมือสั่นเลย? เจนนี่ : เรารู้สึกแปลก ๆ เลยแอบตรวจ เผื่อไม่ใช่ เขาจะได้ไม่ผิดหวังเยอะ แล้วคำแรกยิวพูดว่าท้องเหรอ เราแบบ อ้าว รู้ได้ไง ยิว : ผมเหมือนผมฝันว่ามีใครสักคนมาบอกได้ลูกชายอะไรอย่างนี้  เจนนี่ : หนูว่าน่าจะประมาณ 2 เดือน ยังไม่มีอาการแพ้ท้องเลย ส่วนท้องแรกแพ้เดือนที่4 แพ้เดือนเดียว แอบข้ามหลังผัว ผัวก็แพ้ต่อ ตอนแรกหนูก็ไม่เชื่อ ตอนนั้นหนูแพ้ท้องหนัก เขาหลับอยู่หนูเลยลองทำดู  ยิว : ปกติผมนั่งรถไม่อ้วก แต่ตอนนั้นจะอ้วก ๆ เจนนี่ : เนอะ อยากกินแต่ส้ม ส้มตำ ยิว : น้ำลายเหนียวเต็มปาก เจนนี่ : แต่หนูเพิ่งมาบอกเขาตอนคลอดลูกแล้วว่าแอบข้าม ยิว : ผมรู้สึกว่ามันดีนะถ้ามันส่งกันได้ เราจะได้แบ่งเบาเขา  เวลาเรามีภารกิจ มีลูกต้องดูแล ส่งสัญญาณกันไหม? เจนนี่ : ก็บอกว่าไปอาบน้ำ อาบนานๆ หอมๆ นะ เราก็รู้ตัวเริ่มเลือกชุด เราจะรู้ว่าถ้าวันนี้เรามีภาระกิจเราต้องเซ็กซี่นิดนึง มีชุดอะไรบ้าง? เจนนี่ : เรื่องชุดเมื่อก่อนหนูไม่เคยใส่เลย แต่เขาเป็นคนเริ่มซื้อให้เราก่อน ตอนคบกันใหม่ ๆ แล้วเรารู้สึกว่าพอใส่แล้วมันเป็นความสุขดีนะของชีวิตคู่ มันก็มีความแปลกใหม่  ก็มีการสั่งเรื่อย...

“โยเกิร์ต” เคลียร์ประเด็น หวังฮุบสมบัติ สามี  พร้อมเล่าเหตุการณ์โกรธกันข้ามทวีป!

พิธีกรตัวพ่อของประเทศไทย พีเค ปิยะวัฒน์ ที่วันนี้ควงภรรยาคนสวย โยเกิร์ต ณัฐฐชาช์ ขอมาเคลียร์ดราม่าหวังฮุบเงินสามี หลังมีข่าวหนุ่มพีเคโอนสมบัติเป็นชื่อภรรยาทั้งหมดเลย พร้อมเล่าเหตุการณ์โกรธกันข้ามทวีป ไม่คุยกันนานเกือบอาทิตย์ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บ show ทางช่องOne31 ที่มี หนิง ปณิตา และเป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ คู่นี้คบกันมา 11 ปี? โยเกิร์ต : ค่ะ เข้าสู่ปีที่ 11  เมื่อเช้าคุณโยเกิร์ตโพสต์ภาพรถ แต่แคปชั่นมีนัยยะ ใครที่รอรถคันนี้รอนานหน่อยนะ เพราะคุณเขายกคันนี้โอนเป็นชื่อภรรยาเรียบร้อยแล้ว? โยเกิร์ต : คือคิวยาวมาก อย่างที่รู้กัน พี่พีเคชอบเปลี่ยนรถ เขาจะใช้คันนึง 6 เดือนบ้าง 1 ปีบ้าง ซึ่งคนรู้หมด สิ่งที่พวกเราตีความกันคือใครรอต่อคันนี้ รอนานหน่อย เพราะคุณเขายกให้เราแล้ว ก็ตีความไปว่าบ้านนี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า มีสาวๆ ที่ไหนหรือเปล่า? พีเค : ไม่ใช่ ใครที่รอต่อคันนี้ ถ้าคนที่เล่นรถจะรู้ว่ารถคันนี้มันกำลังฮอตมาก แล้วใครซื้อมือ2 มาราคามันก็ขึ้น กำไรตอนนี้ประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์แล้ว แล้วมันเป็นรถที่หายาก เอาที่น้องๆ ในกลุ่มซุปเปอร์คาร์ เขาบอกเลยว่าถ้าจะขายเมื่อไหร่บอกเลย คือถ้าพี่ลงขายคันนี้ 5 นาทีไปเลย แล้วทำไมโอนรถให้ภรรยา? โยเกิร์ต : ภรรยาสั่งค่ะ พีเค : คันนี้พี่ซื้อมาในช่วงโควิด แล้วพี่ก็ผ่อนมาทุกเดือน จนเดือนที่แล้วเป็นงวดสุดท้าย แล้วพี่ก็ลงว่า ในที่สุดก็ผ่อนหมดแล้ว จากนี้ไปเราจะเป็นไทย เราจะมีอิสระทางการเงินแล้ว เพราะบางเดือนก็ขาด ต้องยืมเงินบริษัทมาช่วยจ่ายเพราะมันสูง แต่ตอนนี้หมดแล้ว พอโอนหมดแล้วปั๊บ คุณภรรยาเขาบอกว่า ถ้างั้นต้องเปลี่ยนชื่อเจ้าของแล้วนะ เปลี่ยนเป็นชื่อเขาแล้วกัน ความรู้สึกพี่เป็นยังไง ต้องเซ็นชื่อแล้วโอนให้ภรรยา? พีเค : ดีใจที่สุดแล้ว โยเกิร์ต : ดีใจจนน้ำตาไหลเลย  พีเค : คือจะบอกว่ารถคันนี้เราสองคนชอบมาก เราตั้งชื่อว่า โมก้า มันย่อมาจากชื่อหมาเราสองตัว แล้วคันนี้เวลาเราไปไหน เราพาหมา 2 ตัวนั่งข้างหลังได้ แค่นั้นเอง ณ ตอนนี้พี่เข้าใจวัตถุประสงค์หรือยังที่โยให้โอนรถเป็นชื่อโย? โยเกิร์ต : อย่างที่โยบอก พี่พีเคชอบเปลี่ยนรถมาก อย่างที่บอกกันว่าชอบคันนี้มากเป็นแฟมิลี่ คาร์ โยชอบคันนี้มากขอแล้วกัน ไม่ให้ขาย เก็บไว้เป็นแฟมิลี่คาร์ แล้ววิธีเดียวที่จะเก็บรถคันนี้ได้ดีที่สุด ต้องเป็นชื่อโย  พีเค : ยังไงมันเป็นรถของเราอยู่แล้ว แต่ตอนแรกพี่เล็งไว้ว่าพอผ่อนหมดปั๊บ สักปลายปี ถ้าเป็นชื่อพี่ พี่ก็ขายได้เงินก้อนนึง ซุปเปอร์คาร์อีกคันก็เป็นชื่อพี่ พอขายก็ได้เงินอีกก้อน ผสมกันก็ได้ซุปเปอร์คาร์ที่ใหญ่ขึ้น แต่พอคันนี้เปลี่ยนชื่อเป็นของเขาแล้ว เขาใช้อยู่ตอนนี้ และรถที่เขาใช้อยู่พี่ขายได้ โยเกิร์ต : ก็บอกเขาว่าถ้าจะขาย ขายรถคันเก่าโยได้ แต่ยังไม่สรุป อยากรู้ความรู้สึกจริงของพี่ แล้วเขาบอกว่าคันนี้ยังไม่ขาย พีเค : ตอนแรกไม่เข้าใจ ตอนแรกเสียดาย เพราะเรามีซุปเปอร์คาร์คันใหม่เล็งอยู่ในหัวแล้วว่า พอขาย 2 คันนี้ เงินเท่ากับซื้อคันนั้นได้เลย ไม่ต้องไปกู้ไปผ่อนอะไรอีก แต่พอเขาอธิบายว่านี่คือรถครอบครัวนะ หมา 2 ตัวนั่งได้นะ แล้วเราไปไหนด้วยกันก็ได้ แต่สุดท้ายก็รักเขา เขาอยากได้อะไรก็ให้เขาไปเถอะ...

“แพรรี่ – ฟอร์ด” เล่าโมเมนต์ความรักสุดแฮปปี้ แต่คอมเมนต์จากชาวเน็ตเกือบทำให้เลิกกัน?!

เปิดโลกคนคลั่งรัก แพรรี่ ไพรวัลย์ กับแฟนเด็ก ฟอร์ด  ปกรณ์ศักดิ์ เผยข้อดีมีแฟนเด็กชีวิตสดใส พร้อมฟาดกลับชาวเน็ตโดนเด็กหลอกแน่ๆ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31 ที่มี เบนซ์ พรชิตา และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ระยะเวลาผ่านไป 5 เดือนแล้ว ความรักแฮปปี้? แพรรี่ : ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจะดีขึ้นมากกว่านี้อีก ยิ่งรักกันงานยิ่งแน่น? ฟอร์ด : นิดนึงครับ แพรรี่ : อย่างที่พูดตอนแรกชัดเจนเลยว่า รักครั้งนี้ไม่เปย์เงิน แต่เปย์งาน คบกับเขาก็อยากให้เขามาเรียนรู้ ถ้าเป็นแฟนเรา เราเป็นอินฟู เราทำงาน เขาก็ควรจะต้องมาทำงานกับเรา แล้วมาดูว่าเราแต่ละวันกว่าจะทำงานมันไม่ใช่ง่าย ๆ นะ หลายอย่างที่เราทำต้องเรียนรู้ ฟอร์ดตั้งแต่มาคบพี่แพรรี่เรางานแน่นแทบทุกวันไหม? ฟอร์ด : ช่วงนี้ไม่ค่อยแล้วครับ เพราะว่าผมไปเรียนด้วย แต่ช่วงปิดเทอมมาบ่อยมากเลยครับ 5 เดือนโกยไปเท่าไหร่แล้ว? แพรรี่ : ก็เยอะอยู่เหมือนกัน แต่เราก็สกรีนนะคะไม่ใช่ว่าเรารับทุกงานไปเรื่อยเปื่อย ทั้งสองคนคลั่งรักหนักมาก? แพรรี่ : เวลาเราไลฟ์ fc ชอบหยอกล้อ โดยเฉพาะน้องฟอร์ด ช่วงแรก ๆ fc ก็อยากรู้ว่ารักเราจริงไหม หรือว่าเป็นแฟนกันจริงหรือเปล่า ไหนหอมแก้มให้ดูหน่อย เดี๋ยวจะช่วยซื้อทุเรียน ช่วยซื้อน้ำพริก แล้วถ้าไม่ออกอากาศคลั่งรักกันขนาดไหน? แพรรี่ : เอาจริงหนูเป็นคนแสดงความรู้สึกตลอดถ้าเวลาอยู่กับเขา เพราะว่าเรายังอยู่คนละที่คนละทาง น้องเขายังเรียนอาทิตย์นึงมาหาเราครั้งนึง มันยังรู้สึกว่าอยากแสดงออกให้เห็นว่าความห่างกันมันไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ารักน้อยลงหรือว่าตอนนี้เบื่อแล้วนะ หมดคอนเทนต์แล้วหรือว่าอะไรเหมือนที่คนอื่นเขามอง ไม่ใช่ ช่างมันหนูก็บอกรักทุกวัน ฟอร์ด : เขาจะโทรไปทุกวัน สม่ำเสมอตั้งแต่ต้นจนจบเลย เขาเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย โทรไปตลอด เขารักเธอนะแล้วก็ไม่รักน้อยลงเลย ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ช่าง เขารักเธอ ความแซ่บทั้งสองฝั่ง?...