“เจฟ ซาเตอร์” เปิดเส้นทางสุดทรหดกว่า 10 ปีในวงการบันเทิง กว่าจะมีวันนี้เคยท้ออยากไปทำอาชีพอื่น!

ศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลงสุดฮอต หนุ่ม เจฟ ซาเตอร์ ที่ล่าสุดเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลจากรายการเรียลลิตี้สุดฮอตในประเทศจีน ที่วันนี้จะเปิดชีวิตในวงการบันเทิงสุดทรหดกว่า 10 ปี เคยคิดออกจากวงการ แถมยังโดนบูลลี่เรื่องการแต่งตัว ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31 ที่บูม สุภาพร และเป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

มีดีกรีเป็นนักร้อง นักแสดง นักแต่งเพลงที่ดังมาก ปล่อยเพลงไหนฮิตทุกเพลง?

เจฟ : เกินไป

ล่าสุดได้รับรางวัลที่ประเทศจีน เป็นรางวัลอะไร?

เจฟ : เป็นรายการเหมือนรวมศิลปินที่ไปเดบิวต์มา 20-30 ปีแล้วมารวมกลุ่มกันทำโชว์

ซึ่งน้องเจฟเป็นคนไทยคนเดียว เป็นตัวแทน?

เจฟ : ใช่ ๆ ผมเป็นคนไทยคนเดียว แต่มีเพื่อนที่เป็นเชื้อสายจีนจาก LA ก็มาเหมือนกัน

ทำไมเขาถึงเรียกเจฟไปร่วมเรียลลิตี้ครั้งนี้?

เจฟ : นั่นสิครับ ไม่แน่ใจว่าเขาเห็นผลงานจากทางไหน บางทีเขาอาจเห็นผลงานจากที่แฟนคลับชาสจีนเขาแชร์กัน แล้วในรายการนี้เขามีรางวัล เหมือนคนที่ชนะรายการ แต่เขาจะไม่ได้แบบ 1-2-3 แต่จะเป็นวิธีการที่ได้อยู่ในครอบครัว เป็นรางวัล 2023 Singing Family คือประมาณ 17 คนครึ่งนึงของคนที่อยู่ทั้งหมด 33 คน เราก็อยู่ใน 17 คนนั้น แล้วอีกรางวัลที่ได้คือ The Hot Song Performance of The Year 2023 ก็ได้ 2 รางวัล

เจฟตกลงจะไปกับเรียลลิตี้นี้โดยที่ไม่รู้เลยว่าเราต้องไปทำอะไรบ้าง?

เจฟ : คือได้ยินมาว่ารายการนี้คือท็อป3 เรื่องความเหนื่อย แต่เราไปแล้ว ตอนแรกเราได้ยินว่าท็อป3 ในเรื่องความอลังการ ความยิ่งใหญ่ในโปรดักชั่น ตอนหลังไปได้ยินว่าท็อป3 หรืออาจจะเป็นท็อป1 ก็ได้ในความเหนื่อย บางทีนอน 3 ชั่วโมงติด ๆ กันบ้าง ได้ทำอะไรที่เราไม่ได้ทำ ซึ่งผมไม่ได้ฝึกภาษาจีนไป เพราะผมไม่รู้ว่าเราจะต้องไปอยู่ในหอ เพราะผมไม่ได้ดูคอนเทนต์รายการทั้งหมดว่าเราจะต้องไปอยู่ในหอกับเพื่อน ๆ ผมไปตอนแรกก็ยากอยู่นะที่เราพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราอยู่เงียบ ๆ ของเรา ปรากฏว่าโชว์แรกของเราได้สิทธิ์ตั้งทีมขึ้นมาได้ พอตั้งทีมปุ๊บก็มีลูกทีมเป็นคนจีน แล้วเวลาที่คุยกับไดเรกเตอร์ที่จะดีไซน์show เราก็ต้องคุยเป็นภาษาจีน มันยิ่งยาก ยิ่งเหนื่อยเข้าไปอีก 

เรามีล่ามไหม?

เจฟ : เรามีล่ามที่หู ที่แปล แต่เวลาที่เขาแปลคอนเทนต์มันไปข้างหน้าแล้ว เรายังอยู่ตรงนี้อยู่ เราจะค่อย ๆ ตามเขา มันจะไปไม่ทันกัน

เราไปทั้งหมดกี่เดือน?

เจฟ : 4 เดือน ไป ๆ กลับ ๆ 

เราต้องไปเรียนภาษาจีนเพิ่มไหม?

เจฟ : เรียนกับคนที่เป็นคนจีนเลย เขาสอนแล้วเราจะมีโน๊ตไว้จดคำศัพท์แต่ละวัน

แต่กว่าจะสำเร็จแบบนี้ผ่านมาหลายค่านมาก?

เจฟ : ใช่ครับ ตั้งแต่อายุ 17 ปี รวมแล้วประมาณ 11 ปีครับ ตอนนี้ผมอายุ 28 ล่ะ

ณ ตอนที่ไม่สำเร็จย้ายมาตั้งหลายค่าย มันรู้สึกเหนื่อยและท้อบ้างไหม?

เจฟ : จริง ๆ ไม่เชิงเหนื่อย ไม่เชิงท้อนะครับ รู้สึกว่าต้องไปทำอย่างอื่นแล้ว เพราะว่าพออายุมากขึ้น เราต้องหาอะไรที่มันมั่นคงทำ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นว่าเราเลี้ยงดูตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ เลี้ยงดูครอบครัวไม่ต้องพูดถึงเลย ก็เลยแบบว่าเราไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม

ความหวังที่จะเป็นศิลปินแล้วย้ายมาหลายค่ายแล้ว แต่ไม่ดังสักที ตอนนั้นเจฟไปทำอะไร?

เจฟ : ตอนนั้นผมทำหลายอย่าง เป็นกราฟฟิกให้กับบริษัทอสังหา ทำพวกป้ายบิวบอร์ดที่เราเห็น เวลาเราขับรถผ่าน ตอนนั้นมีทำธุรกิจตัวเอง คิดด้วยตัวเอง ทำสมุนไพรอัดแก๊ส ผมรู้สึกว่าต้องดีงความเป็นไทยมา ก็เลยเขียนอันนี้ยื่นโครงการให้กับมหาลัยนึง แล้วเราก็ได้เงินสนับสนุนมา เราเลยได้คอนแน็คชั่นเชื่อมไปเรื่อย ๆ แล้วรู้จักคนที่ทำพวกส่งเสริมธุรกิจ เราเขียนโปรเจ็กต์มาแล้วเขาก็พาเราไปหลายที่มาก ไปเปิดบูธเมืองทอง ไปกวางโจว เมืองจีน

ตอนนั้นธุรกิจสมุนไพรอัดแก๊ส เจฟก็รวยเป็นหมื่นล้านแล้วสิ?

เจฟ : ไม่ ๆ คือเฟล ช่วงนั้นโควิดมาพอดี แต่ต่อให้มันไม่มาเราก็เฟลอยู่ดี เพราะเราประเมินผิด เราไม่มีเงินที่จะทำใหญ่โตขนาดนั้น เพราะว่าธุรกิจเครื่องดื่มมันใหญ่กว่านั้นเยอะ

คุณแม่บอกว่าตอนเด็ก ๆ คุณเรียนไม่เก่ง?

เจฟ :  ครับ ได้เกรดดฉลี่ย 0.91

แต่คุณแม่สนับสนุนเรา ถึบแม้เราทำอะไรผิดพลาด?

เจฟ : คือแม่ชิล แม่บอกว่าจะเรียนเท่าไหร่ก็แล้วแต่เลย ก็คือส่งไปเรียนให้มันมีความทรงจำช่วงม.ปลาย เพราะบางทีการเล่นมันสำคัญกว่าการเรียน อันนี้พูดกับตัวเองนะ ปลอบใจตัวเอง แม่ผมสอนว่าเอาตัวรอดในสังคมได้ก็พอแล้ว ผมเป็นคนที่ชอบแบบถ้าสมมติเราเรียนอะไรที่เราไม่สนใจ ผมไม่สนใจเลย สมมติผมเรียนประวัติศาสตร์อยู่ ผมเอาหนังสือประวัติศาสตร์เรื่องอื่นไปอ่านในห้อง เพราะอยากรู้ประวัติศาสตร์เรื่องนี้มากกว่า แต่อันนี้ไม่เวิร์กสำหรับทุกคนนะ มันเวิร์กสำหรับผม มันโอเคสำหรับผม แล้วเรียนอย่างนั้นจนจบเลย แล้วแม่แบบชิลไม่ได้ว่าอะไรเลย

ตอนเอาเกรดไปให้คุณแม่ดู แม่ว่ายังไงบ้าง? 

เจฟ : แม่ขำ แม่บอกตลกดี น่าจะได้ที่1 จากอันดับท้ายขึ้นมา

พอเข้ามหาวิทยาลัยเราก็ปรึกษาคุณแม่อีก ไหวไหมแม่?

เจฟ : คือผมพูดกับแม่ว่าคือผมอยากไปเรียนอย่างอื่นแล้วไม่อยากเรียนดนตรีแล้ว เพราะตอนนั้นเรียนดนตรีมาปีกว่า ๆ ถ้าเราทำต่อไปเราจะหมดแพชชั่นกับดนตรี ผมเลยอยากย้ายไปเรียนธุรกิจดีกว่า เพราะคุณพ่อทำธุรกิจ เผื่อเราจะช่วยคุณพ่อได้ กลายเป็นว่าเราไปเรียน แต่ตอนนั้นก็เหมือนรายการจีน เราไม่รู้ว่าเขาเรียนอะไรกัน แต่ผมแค่รู้ว่าครู้บอกอันนี้เห็นว่ามันดีนะไปเรียนสิการเงิน การลงทุน หารู้ไม่อันนั้นยากมาก ๆ ในการบริหารธุรกิจ เพราะมันเกี่ยวกับตัวเลข แล้วผมได้เกรด 0.09 ไม่รู้เรื่องเลขเลย เราเข้าไปแบบมึน ๆ แต่มีความคิดนึงที่รู้สึกว่า ไหน ๆ เราเรียนไม่ค่อยดีตอนม.ปลาย ลองมาตั้งใจหน่อย ชาเลนจ์คิดว่ามันเป็นเกมให้มันสนุก ตอนนั้นตั้งใจเรียนมาก ๆ จากที่เพื่อนติวให้ไปติวให้เพื่อน จบด้วยเกรดเฉลี่ย 3.69 มันถึงเกียรตินิยม แต่ด้วยความที่เราไปเรียนดนตรีมา เราไม่ได้รีรหัส เพราะว่าปีเกินมันเลยไม่ได้

แล้วอยู่ ๆ มาเป็นซีรีส์ที่ดังระเบิด ทั่วโลกดู เราไปแคสซีรีส์นี้ได้ยังไง?

เจฟ : มีเพื่อนแชร์มาในกลุ่ม แล้วผมคิดว่ามันน่าสนุกดี ผมจะชอบความเป็นมาเฟียอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าลองไปดูดีกว่า ตอนแรกผมไปแคสบทที่ห่างจากตัวผมมาก ๆ เลย บทบ้า ๆ บอ ๆ แต่สุดท้ายตกมาจนได้บทนี้ และสุดท้ายก็อย่างที่ทุกคนเห็น คินน์พอร์ช เดอะซีรีส์

พอเราดังแล้วคุณแม่ว่ายังไงบ้าง?

เจฟ : คุณแม่แนวชิล ก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้นในสักวัน

พอเราไปเวิร์ลทัวร์แล้วเห็นคนที่ซัพพอร์ตเราเยอะขนาดนี้ เรารู้สึกยังไง?

เจฟ : ผมอยากเล่าโมเมนต์นึง เป็นโมเมนต์ที่เราเล่นที่ไทยก่อน แล้วมันเป็นฉากกั้นปิดอยู่ แล้วทุกคนก็ยืนเรียงกัน พอมันเปิดแล้วลมตีขึ้นมา พร้อมกับเสียงกรี๊ดของทุกคน มันเป็นโมเมนต์ที่ผมจำได้จนถึงทุกวันนี้เลย มันเป็นความรู้สึกซัพพอร์ตความรักที่มันท่วมท้นมาก ๆ ไปทุกที่มันมีความรู้สึกแบบนั้นตลอด

ซีรีส์เรื่องนี้เขาได้ยอกเราก่อนไหมว่าเราต้องแต่งเพลง เขียนเพลง เพราะเจฟบอกว่าเขียนเพลงนี้เอง?

เจฟ : จริง ๆ ไม่ได้บอกก่อน แต่พอคุยไปเขารู้ว่าเราทำเพลง มันจะมีการแคสอีกรอบนึง เราก็เล่นเพลงให้เขาฟัง เขาก็เออ..แต่งดีกว่า ซึ่งเพลงประกอบเนี่ยเป็นเพลงประกอบซีรีส์อีกเรื่องนึงที่ผมทำไว้ให้คนอื่นร้อง แต่ผมรู้สึกว่าอยากจะเก็บไว้ ผมรู้สึกว่าอาจจะไม่เหมาะกับเขา แล้วก็เขียนอีกอันนึงให้เขา

แต่มันก็เหมาะกับเราจริง ๆ ทำให้เราโด่งดังไปเลย แต่สุดท้ายเจฟก็ตัดสินใจออกมาเป็นอิสระอีก ทำไม?

เจฟ : คือตอนนั้นผมคุยกับใครหลายคนมาก พี่ปอนด์เขาเชื่อมั่นในตัวผมมากนะ เขารู้สึกว่าเจฟทำได้ เขามองว่าผมมีความคล้ายกับเขา สนับสนุน เชื่อ ถ้าวันนี้เจฟอยากออกไปก็สนับสนุน ต่อให้ออกไปเราก็ไม่ได้ขาดกัน ยังเป็นพี่น้องที่ดี ร่วมงานกันได้ ผมก็ไปงานเขาในวันที่เขาเปิดพรีเมี่ยน เราก็ยังคุยกันตลอด ตอนนั้นที่ตัดสินใจอยากลองทำอะไรด้วยตัวเอง  มันมีภาพในหัว แต่ภาพนี้มันจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราเป็นเจ้าของสิ่งนี้ก็เลยเกิดเป็นสตูดิโอขึ้นมา

เจฟเคยผ่านดราม่ามา โดนดราม่าอะไร?

เจฟ : โดนเรื่องบูลลี่

เห็นบอกโดนตั้งแต่เด็กเลย?

เจฟ : ส่วนมากโดนเรื่องนี้แหละ ผมชอบฟิวเจร็อค กรีดตา ทาเล็บ ผมจะเอาปากกาเมจิสีดำมาทาเล็บ

แล้วเพื่อนไม่เข้าใจ?

เจฟ : เพื่อนจะมีล้อบ้าง สมัยก่อนทำไมเหมือนผู้หญิงจัง บางทีผมกรีดตา คุณแม่เป็นคนกรีดให้ด้วย ก็จะโดนล้อแบบนี้ตลอด เลยกลายเป็นว่าเราไม่ค่อยกล้าแต่งตัวไปโรงเรียน

คนข้างนอกไม่เข้าใจเรา แล้วแม่เข้าใจเราไหม?

เจฟ : แม่พาผมไปต่อผมด้วย ตอนนั้นจำได้ว่าแม่ชอบซีรีส์เรื่องนึง คนที่เล่นผมยาว เป็นหนังฟิวกังฟูหน่อย ก็ไปต่อ แล้วมีตัดสั้นตรงคอบ้าง พอเปิดเทอมก็ต้องตัดผม เพราะโรงเรียนมีกฎ แต่คุณแม่จะส่งเสริมการแต่งตัวของเรามาก

ล่าสุดเห็นว่าชุดโชว์โดนถล่ม มีดราม่า?

เจฟ : ไม่เชิงดราม่าครับ แต่มันเป็นแค่บางคอมเมนต์ มันเป็นปกติอยู่แล้วที่เราเจอคนแบบนี้บอกว่า แต่งตัวแบบนี้เหมือนผู้หญิงเลย เดี๋ยวนี้คนชอบแบบนี้เหรอ มีผู้หญิงสองคน แบบผู้หญิงชอบผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงเหรอ เอาจริงผมขำนะ ผมแค่รู้สึกตลกมาก เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว

พอมีคนมาบูลลี่เรา เรื่องแฟชั่นที่เราชอบ สไตล์การแต่งตัวที่เราชอบ อยากบอกอะไรกับคนที่มาคอมเมนต์เรา?

เจฟ : จริง ๆ ดีนะ เพราะว่ามันจะทำให้รู้ว่าต่อให้เป็นใครก็ตามบนโลกนี้จะมีคนที่เห็นด้านแย่ของเราเสมอ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปแคร์ ผมก็จะเป็นเหมือนเดิม แต่งตัวแบบเดิม มันก็จะได้อินสไปร์ด้วยกับคนที่อยากจะแต่งตัว อยากจะทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นอะไร จะแต่งตัวแบบไหนมันก็เรื่องของเรา คือเขาไม่ได้มานั่งอยู่ที่บ้านเรา เขาแค่คอมเมนต์ เพราะเขาสนุกเฉย ๆ แต่อย่าให้เขาสนุกมากไป เราสนุกกับการแต่งตัวพอ

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

คลิปสัมภาษณ์ เจฟ ซาเตอร์ 

About Author